ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ผมไม่อยากให้มาถึงเป็นที่สุด วันที่25ธันวาคมของทุกปี วันที่คนเขาเรียกกันว่า วันคริสตมาส ผมไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปฉลองอะไรกับใครในวันนี้เพราะผมนับถือศาสนาพุทธตามทะเบียนบ้านเกิด
ผมมองว่า วันพวกนี้มักจะมาคู่กับผลประกอบการที่ดีขึ้นของบริษัท ห้าง ร้านค้า เนื่องจากมีพวกบ้าฉลองเทศกาลไม่เลือกหน้า ใช้จ่ายไม่ยั้งคิด ต้นปีก็วาเลนไทน์ทีนึงแล้วที่บริษัทจัดจำหน่ายช็อคโกแลตและโรงงานฟันกำไรอื้อซ่า
พวกคุณทำสำเร็จเป็นอย่างมากในเรื่องการสร้างค่านิยมว่า “รักใครชอบใครบอกเขาไปด้วยการให้ช็อคโกแลตสิ!” แน่นอนว่า คริสตมาสเองก็ไม่ต่างกันถ้ามองแก่นแท้ของเทศกาลนี้ให้ดีแล้ว จะเห็นว่า เป็นงานเทศกาลที่ฟุ้งเฟ้อพอๆกัน ทั้งหมวก ต้นคริสตมาส ไฟประดับ เค้ก เทียน และอื่นๆอีกมากมาย
อยากรู้นักพวกที่จัดงานฉลองกันตามคนอื่นเขาเนี่ย รู้กันบ้างรึเปล่าว่า เทศกาลนี้มีขึ้นเนื่องในโอกาสอะไร?
แต่เอาเถอะ ผมคงมองอะไรไกลตัวเกินไป เอาเป็นสรุปง่ายๆได้เลยว่าไม่เคยมีวันไหนของปีที่จะทำให้ผมรู้สึกยุ่งยากใจไปมากกว่าวันนี้อีกแล้ว
ความวุ่นวายของวันมันเริ่มตั้งแต่ตอนเที่ยงซึ่งเป็นวันเสาร์ที่ผมอยากอยู่เงียบๆคนเดียวและให้วันที่25ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
ก็มีไอ้เจ้าคาร์ลเพื่อนตัวแสบมาเยี่ยมเยียนถึงห้อง ยังดีนะมันไม่อุตริเอาของฝากเป็นกระเช้าของขวัญรังนก พรุนสกัดหรืออะไรทำนองนั้นมาให้ไม่อย่างนั้นมีหวังได้ไล่ตะเพิดมันออกไปจากหน้าห้องภายใน3วินาทีเป็นแน่ แต่ตอนนี้มันกำลังกดดันผมด้วยเสียงออดจากหน้าห้อง
“เมอรี่คริสต์มาสเว้ย โซ” มันเปิดช่องส่งจดหมายหน้าห้องที่อยู่ระดับหน้าแข้งเพื่อให้ผมได้ยินเสียงอวยพรของมันได้ชัดเจนขึ้น
“อืม เออ...ถ้าไม่มีอะไรก็กลับไปได้แล้ว”
“เฮ้ยไหงเย็นชากับคนสำคัญแบบนี้ล่ะ...ลืมความสัมพันธ์อันแสนหวานชื่นของเราสองไปแล้วเหรอ ...” พอเหอะ นอกจากจะทำให้รู้สึกขยะแขยงแล้วยังรู้สึกขายขี้หน้าคนห้องข้างๆด้วย
“อ่าห์ เจ้าข้าเอ้ย โปรดออกมาดูชายหน้าไม่อายในห้องนี้ที่ “ได้” แล้วทิ้ง...” นี่ถ้าไม่เปิดประตูให้มัน มันต้องพล่ามอะไรบ้าบอทำลายชีวิตอันสงบสุขของผมแน่ๆ
ปัง!
“ปิดปากให้สนิทแล้วเข้ามาซะ”
“นั่นแลๆ ที่อยากให้พูด แต่ถ้าให้ดีน่าจะพูดกับเพื่อนรักคนนี้...”
“จะเข้าไม่เข้า?”
“เข้าอยู่แล้วจ้า~”
เมื่อคาร์ลเข้ามาในห้องมันก็เที่ยวดูนู่นดูนี่ตามประสาคนสอดรู้สอดเห็น เดินไปดูทีวีในห้องบ้าง เดินไปสำรวจโปสเตอร์อนิเมเก่าๆบ้าง คุ้ยเขี่ยของใต้เตียงบ้าง...
เฮ่อ...ถึงจะไม่อยากต้อนรับมันสักเท่าไหร่แต่ตามมารยาทใครก็ตามที่ถูกเชื้อเชิญเข้ามาในห้องนี้ก็สมควรที่จะได้รับการปฏิบัติสมกับเป็นแขกผู้มาเยี่ยมเยียนแม้จะไม่ได้ตั้งใจมาเยี่ยมก็เถอะ
“เอ้า...น้ำชากับของว่าง” ไอ้ตัวแสบอย่างคาร์ลเนี่ย มันต้องชาตราสามเพกาซัสรสเข้มข้นเท่านั้น
“โฮ่...ขอบคุณมากๆ กินล่ะ” อย่างมันเนี่ยต้องหาอะไรมายัดปากให้เงียบจริงๆนั่นแหละ
“อ้าม ง่ำๆ....” นานแค่ไหนกันแล้วที่ผมน่ะไม่ได้อยู่อย่างสงบ เกือบ2ปีได้แล้วมั้งที่รู้จักกับไอ้หมอนี่แล้วชีวิตมีแต่เรื่องวุ่นๆ ถึงจะไม่เท่าไอ้หมอนั่นก็เถอะ...
“แล้วที่มาหานี่มีธุระอะไร”
“อ้าไอ้อีอุ้อ้ะไออ้ออาอ๋าไอ้ไอ๊อั้นอ๋อ” คาร์ลมันพูดทั้งๆที่ยังกระเดือกแยมโรลและมายด์เค้กราคาถูกที่ผมซื้อจากแฟมิลี่มาร์ทไม่หมด
“แดกไปให้หมดก่อนแล้วค่อยพูด เดี๋ยวก็ติดคอ...”
“ครั่กคว่อก” นั่นไงล่ะพูดไม่ทันขาดคำ
“อึ่กๆอั่กๆ” มันรีบคว้ากาน้ำชากระเบื้องสีขาวเทเข้าปากอย่างไม่รักษามารยาท นี่แกจะทำตัวเป็นแขกชั้นต่ำไปถึงไหนกันแน่เนี่ย?
“เฮ่ออออออออ....เกือบตายแล้วไหมล่ะ” โล่งใจแฮะที่มันไม่ได้มาตายที่นี่ ถ้าจะตายล่ะก็ไปตายที่อื่นไป๊...
“ว่าแต่มานี่มีธุระอะไร”
“นายนี่ใจร้ายจังเลย ถ้าไม่มีธุระอะไรก็มาหาไม่ได้งั้นหรอ?”
“เหอะ...” ต้องมีอะไรเบื้องหลังแหง “มีอะไรก็บอกมาตรงๆดีกว่า”
“เอานะ งั้นถามเลยนะ ”
“เออ...” ที่มาหานี่คงไม่พ้นมีงานเร่งด่วนอะไรให้ช่วยอีกตามเคย ผมยกชาอู่หลงผสมน้ำผึ้ง+มะนาวที่ชงเองขึ้นจิบ
“ได้ยินมาว่า ช่วงนี้นายไม่โผล่หน้าไปมหาวิทยาลัยเพราะนอนกกเมียอยู่
”
พร่วด! ปึก! ผมกระแทกแก้วน้ำชาสีดำขลับลงบนโต๊ะญี่ปุ่นลายไม้สักสีน้ำตาลไหม้
“ไปได้ยินมาจากไหนวะเฮ้ย!”
“เห็น คุนมันพูด...” มันพูดพร้อมมองฝ้าเพดานสีฟ้าอ่อนอย่างไม่ยี่หระ
“มันพูดหรือแกพูดเอง? ห้ะ?” ไอ้หมอนี่มันเชื่อถือไม่ได้ ก่อนจะปักใจเชื่อข้อมูลอะไรจากมันต้องซักไซ้ให้ละเอียดถี่ถ้วน
“ก็ไม่เชิงว่า คุนมันบอกว่านายกกเมียหรอก แต่มันก็พูดว่าหยั่งงี้...
อ่ะแฮ่ม...
[ครั้งสุดท้าย ผมเห็นเขาที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเขากำลังยุ่งอยู่กับการเลือกแชมพูสำหรับจุดซ่อนเร้นอยู่น่ะครับ ผมเดาว่าเขาน่าจะซื้อไปฝากคนที่ห้องแน่ๆ]”
แม่งเอ๊ย ตูอยากจะเอาหัวโขกพื้นห้องให้ทะลุถึงอีกฟากหนึ่งของโลกบวมๆใบนี้
น่าอับอาย!น่าอับอายเป็นที่สุด ก็สงสัยอยู่แล้วทำไมถึงมีแมสเซจแปลกๆมาจากลินด์
[มีคนรักอยู่แล้วทำไมไม่บอกกัน ให้ความหวังอยู่ได้]
ผมจึงส่งไปว่า [คนรักไหน ไม่มีหนิ]
และเธอก็ตอบกลับมาสั้นๆแค่เพียง[ไอ้คนลวงโลก!]
ตอนนั้นผมยังงงว่า ตัวเองได้กลายเป็นโจโฉที่ยอมลวงหลอกคนทั้งโลกแต่ไม่ยอมให้คนทั้งโลกหลอกลวงตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็คิดในแง่ดีว่า เธอคงเป็นช่วงนั้นของเดือน ซักสองสามวันเธอคงจะกลับมาคุยดีตามปกติแต่ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด...
“ไอ้เชี่ยนั่นนี่เองที่ก่อเรื่อง...”
“ว่าแต่มีจริงๆหรือเปล่าล่ะ?”
“ไม่มีเว้ย!”
“อ่าว แล้วจะซื้อ Lactacid Intimidateไปทำซากอะไรล่ะ หืม?” Intimidateมันแปลว่า ข่มขู่เฟ้ย! แต่ช่างเหอะนั่นมันไม่ใช่สาระ
“ก็วันนั้นน่ะ...โต้รุ่งจนเบลอไปหน่อย แล้วเห็นว่าโฟมล้างหน้าในห้องน้ำหมด ก็เลย...”
“เลยออกไปซื้อทั้งที่ยังเบลอๆอยู่ และก็ได้ครีมทำความสะอาดจิมิ มาแทน ชิมิ?” ยิ่งฟังน้ำเสียงกวนประสาทมันแล้วยิ่งหงุดหงิดกว่าเดิม3เท่า
“ฮว้ากกกกกกกกกกกก แม่งเอ้ยยยยยยยยย” ผมลุกขึ้นตะคอกใส่บานหน้าต่างสีเขียวที่ปิดอยู่อย่างอดรนทนไม่ไหว
“อย่าพึ่งโมโห โมหัน หุนหัน พลันแล่นไปเลยน่า นายเองก็ผิดเหมือนกัน...”
“ผิดตรงไหนวะ ?”
“ก็ไม่ออกมาอธิบายเรื่องทั้งหมดให้กระจ่าง เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องแบบนี้ ใครมันจะไปตรัสรู้ได้วะ ว่าจริงไม่จริง?”
“
” ที่มันพูดมาก็ไม่ผิด แต่ฟังแล้วก็ยังขัดหูอยู่ดี
“เอ้อ แล้วก็อีกอย่างสงสัยมานานและทำไมช่วงนี้แกไม่ออกไปไหนเลยวะ”
“พูด...เรื่องอะไรของแกน่ะ คาร์ล”
“ไม่ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เลย โซ ปีที่แล้วก็แบบเนียะไม่ใช่เหรอ เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง หัดออกมาสนใจโลกภายนอกบ้างก็ดีนะเว้ย สาวโสดใน ม. น่าร้ากน่าร๊าก มีถมเถ” ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ปากที่พล่ามอยู่ในตอนนี้จะเป็นปากเดียวกันกับที่เคยปฏิญาณไว้ว่า
“จากนี้ไปเราสองคนจะจงรักภักดีต่อสาว2Dเพียงอย่างเดียวไม่เหลียวสาว3Dไหนเป็นอันขาด”
ไอ้ขี้โม้เอ๊ย...ที่พูดไปทำได้ไม่ถึงกึ่ง ไปเป็นนักการเมืองคงรุ่งโรจน์น่าดู
“หรือว่า...แกจะมีความหลังกับวันคริสมาสต์” ชิ ...ตอนเรียนก็เห็นหัวทึบ พอเรื่องอย่างนี้แหละหัวไวเชียว
“อ๋อ...ฉันเข้าใจแล้วล่ะ โซ” ...เข้าใจก็รีบๆไสหัวไปได้แล้ว อยู่ต่อไปมีแต่จะสร้างความรำคาญ
“เมื่อปีก่อน นายไปสารภาพรักกับสาวนางหนึ่งเข้า แล้วสาวเจ้าก็หักอกแกในวันคริสมาสต์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาแกก็เลยมีปมฝังใจ...”
“แกเลยกะลงเอยกับคุณหัวหน้าห้องผมยาวดำสลวยในช่วงคริสตมาสแบบในอนิเมซีซั่นนี้สินะ สินะ!”มันหลับตายิ้มแป้นแล้นพร้อมทั้งชูนิ้วขึ้นชี้ขึ้นฟ้าเหมือนจะจงใจล้อเลียนมากกว่าที่จะพยายามทำความเข้าใจผม
“ไม่ใช่เว้ย!” ผมพลิกโต๊ะญี่ปุ่นใส่มัน แต่ไอ้ปลิ้นปล้อนกะล่อนเหมือนปลาไหลอย่างมันก็หลบอย่างไม่ยากเย็น
โต๊ะญี่ปุ่นสีน้ำตาลไหม้ลายไม้ของผมจึงลอยละลิ่วไปกระแทกขอบชั้นหนังสือสีเหลืองอ่อน หนังสือที่หุ้มด้วยปกแข็งสีขาว และสีโทนเย็นร่วงลงมาเหมือนหิมะโปรยปรายอย่างสวยงามไปทั่วทั้งผืนฟ้า ผิดไปแค่มันร่วงใส่หัวผมก็แค่นั้น...
“หงุดหงิดชิบเป๋งเลยว่ะ... ” ผมสบถพร้อมกับจิปาก
“หงุดหงิดอะไรเหรอจ๊ะ ซู๊ด...” มันยังมีหน้ามาถามอีกนะ รู้สึกคันไม้คันมือ อยากซัดหน้าตอนมันยกชาขึ้นซดจริงๆ
“เออๆเอาเหอะๆ ...แล้วมีอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีก็รีบๆกลับไปซะ จะได้จัดชั้นหนังสือ
”
ตี ตี ตี ตี่ ดี้ ตี ดี่~ เสียงเรียกเข้ามือถือของมันเนี่ยสุดสลดชวนหดหู่ชิบ...
“อ๋อ... เอ้อ ใช่ๆ...อยู่ด้วยกันๆ... ฮะฮะ ไม่รู้สิ.... ไม่รู้ว่ามันอยากจะเจอแกรึเปล่านะ” ผมใช้ภาษามือบุ้ยใบ้ถามมันว่า ใครวะ? และมันก็ขยับปากอ่านได้ว่า “ไอ้คุน”
“เอามาคุยดิ๊...”
“อ่าๆ เดี๋ยวแกคุยกับโซเองละกันนะ คุน”
“ว่าไง โซ...” ว่าไง...xxxอะไรกันล่ะ ก่อวีรกรรมไว้แสบยังมาทำเหรอหราอีกงั้นเหรอ? ไม้นี้มันเก่าไปแล้วมั้ง
“ก็มีความสุขดี จนกระทั่งแกไปพูดเรื่องในซุปเปอร์นั่นแหละ...” เอาสิ ดูซิว่าจะแก้ตัวยังไง
“อ่าๆ โทษทีๆตอนนั้นเข้าใจผิดไป ต้องไปแก้ข่าวยกใหญ่เลยล่ะ ว่าจำผิดคน”
“
.”
“คือ คนที่เราเห็นน่ะนะ คล้ายกับนายมากเลยน่ะ เสียแต่ว่าหมอนั่นเป็นกระเทย” มันหลอกด่ารึเปล่าวะเนี่ย?
“แล้วเรื่องวุ่นวายที่เกิด...” ขึ้นล่ะจะแก้ยังไงกัน ใครจะรับผิดชอบ ห๊ะ?
“เราไปขอโทษแล้วล่ะ แถมยังบอกด้วยว่า นายรู้สึกไม่ดีในช่วงฤดูหนาวแบบนี้ก็เลยไม่อยากออกไปไหนมาไหน” ระระ ร้ายกาจนี่มันเตรียมให้แม้กระทั่งบันไดลงให้ตูเชียวเรอะ...ฮึ่ม...
“แล้วเรื่องลินด์...”
“ไม่ต้องเป็นห่วง เราชวนลินด์มาปรับความเข้าใจเรื่องนี้แล้ว แต่มันจะดีกว่านะถ้านายมาอธิบายให้เธอฟังด้วยตัวเอง เพราะบางทีปากต่อปากข้อมูลมันอาจจะผิดเพี้ยนไป...” นี่มัน...ข่มขู่กันชัดๆ มันกำลังจะบอกเป็นนัยว่า “ถ้าแกไม่มา แกได้เจอเรื่องใหญ่กว่านี้แน่”
“อืม ก็ได้ เจอกันที่ไหน?”
“เอาเป็นที่ร้านVarietyแล้วกัน รีบมาหน่อยก็ดีนะเพราะลินด์เองร้อนใจอยากปรับความเข้าใจกับนาย...” มันกำลังจะบอกเป็นนัยว่า “รีบไสหัวมาเดี๋ยวนี้ไม่งั้นแฟนเอ็งบอกเลิกแน่”
“ตามนั้น แค่นี้นะ...”
กริ๊ก ตรู๊ดๆๆ
“ดูนายสองคนเข้ากันได้ดีนะเนี่ย” เข้ากันได้ดีกะผีน่ะสิ โดนมันข่มขู่ฝ่ายเดียวชัดๆ
ผมเปิดตู้เสื้อผ้าสีเทาหม่นแล้วหยิบเสื้อแจ็คเก็ตสีแมลงทับ กับกางเกงยีนส์ตัวเก่งเพื่อไปเปลี่ยนในห้องน้ำสีครีมสุดสบายตา แต่ขณะเดียวกันคาร์ลเองก็เที่ยวซอกแซ่กดูนู่นดูนี่ไปตามประสาจนผมต้องเตือน
“ไม่เคยได้ยินสำนวนที่ว่า [ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าทุกคนรวมถึงแมว] งั้นเหรอ?”
“สำนวนอะไรของนายน่ะ เคยได้ยินแต่ว่า [ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าได้แม้กระทั่งแมว]”
“เออๆนั่นแหละๆ เอาเป็นว่าความหมายเดียวกัน” ชิ ตัวเองสอดรู้สอดเห็นแท้ๆยังมีหน้ามาเถียงอีก
“เอาล่ะ พร้อมแล้วไปกันได้แล้ว...”
“ฮื่อ” ผมต้องออกจากห้องที่แสนอบอุ่นไปเผอิญหน้ากับโลกภายนอกอันแสนหนาวเหน็บ แต่ถ้าไม่ไปผมคงต้องพบเจอกับอุปสรรคที่ทำให้ผมต้องเหน็บหนาวไปถึงปลายไขสันหลัง
ร้านอาหารวาไรตี้(Variety)ที่คุนนัด เป็นร้านอาหารประเภทจิปาถะสุดๆ อยากได้อะไรก็สั่งเอา มีตั้งแต่ธรรมดาสุดๆอย่างซุปน้ำข้าวไปจนถึงอาหารขึ้นเหลาเข้าวัง
ว่ากันว่าเคยมีคนคิดพิเรนทร์สั่งฟัวกรามากินอย่างอร่อยเอร็ด และก็ต้องล้างจาน ถูพื้นอย่างเอน็ดอนาถเพราะราคาของมัน
เอาเป็นว่า มาร้านนี้อย่าสั่งอะไรพิลึกพิลั่นก็พอแล้วเพราะเจ้าของร้านนี้เป็นคนจริง พูดจริงทำจริง สั่งจริงจ่ายจริง
การจะเดินทางไปร้านวาไรตี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ถ้าไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ผมเลือกที่จะเอาเพลงยัดหูตัวเองเพื่อไม่ให้วอกแวกไปกับสิ่งรอบข้างพร้อมกับมุ่งหน้าไปร้านวาไรตี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
มันมาแล้ว... มันมาด้วยความเร็วสูง
ผมหลบชิดไปฝั่งตรงข้ามกับริมฟุตบาทจนไปกระแทกกับผู้ชายอีกคนที่เดินคุยโทรศัพท์
“ขอโทษครับ”
“เอาแต่ฟังเพลง ก็ไม่มีสมาธิงี้แหละน้า ว่าแต่ฟังอะไรน่ะ ขอฟังมั่งดิ”
[
มือไม้มันค่อยๆสั่น ในท้องมันก็เริ่มปั่น ตาก็ยังลายๆ ใจระส่ำระส่าย เป็นอย่างนี้ทุกทีไป คงเพราะคุณนั้นสูงไป~ มันก็แพ้~ ก็บนนั้นมันช่างสูงได้ยิน.มั้ยคุณ โปรดเถอะลดลงมาหากันหน่อยนะครับ
]
“หยา ? เพลงอะไรเนี่ย”
“Acrophobia ของPenguin Resort”
“ตลกดีนะ เพลงนี้”
“ไม่เห็นจะตลกตรงไหนเลยสักนิด ออกจะสื่อถึงความรู้สึกได้เป็นอย่างดี ถ้าไม่ชอบฟังก็เอาคืนมา” แล้วผมก็คว้าหูฟังอีกข้างกลับมายัดหูตัวเองเพื่อลดความสนใจต่อสิ่งรอบข้างลง
แต่ไม่ทัน มันมาอีกแล้ว มันเลียบเข้ามาใกล้แล้ว...ผมต้องหาทางหลบ
“ขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะครับ” ในห้องน้ำนี่แหละ ปลอดภัยไม่น่าจะ...
โธ่เว้ย มันแอบอยู่ในถัง...
พอผมพุ่งพรวดออกมาจากห้องน้ำ คาร์ลเองก็ปากบอนเหมือนเคย
“ศึกหนักเหรอเพื่อน ทำไมไม่จัดการให้เรียบร้อยก่อนออกมาล่ะ?” ไม่มีอารมณ์จะเถียงกับมันแล้ว ทำยังไงก็ได้ให้ไปถึงร้านวาไรตี้ให้ไวที่สุด
มัน...มันมาเป็นฝูงใหญ่ มันใกล้เข้ามาแล้ว ถ้าขืนรอคาร์ลมีหวังผมไม่รอดแน่
“ข้ามถนนเลย!” ผมตะโกนบอกคาร์ลที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“เฮ้ย ระวัง!?”
เอี๊ยดดดดดดดด....ผมกลิ้งตัวตัดหน้ารถตู้สีบรอนซ์เงินที่คนขับเหยียบเบรกจนตัวโก่ง
“แกทำบ้าอะไรวะ!”
ผมไม่สนใจหรอก ว่าใครจะพูดอะไรยังไง แต่ผมต้องไปให้ถึงร้านวาไรตี้ให้ได้ สภาพผมตอนนี้ดูไม่จืด เสื้อแจ็คเกตและกางเกงยีนส์ตัวเก่งของผมเลอะเทอะเปื้อนฝุ่นเหมือนโดนสาดด้วยแป้งแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร
แล้วตอนนี้ผมก็เจอปัญหาใหญ่ก็คือ พวกมันแห่แหนกันมาเต็มถนน เสียงร้องดังก้องขึ้นทั่วริมถนน นี่มันยึดถนนเลยงั้นหรือ...
โธ่เว้ย นี่ก็ล่อไปบ่ายหนึ่งกว่าแล้ว ผมมองหาเส้นทางที่จะไปที่ร้านโดยไม่ต้องเจอะเจอกับพวกมัน แต่ก็ไม่มีเลย ไม่มีแม้แต่เส้นทางเดียว เสมือนผมเป็นหมากดำที่โดนหมากขาวล้อมกรอบไปไหนไม่ได้
คิดสิ คิด คิดเข้าสิ ว่ามีทางไหนที่จะไม่มีพวกมันตามมารังควาน
เสียงของมันใกล้เข้ามาแล้ว ผมเลือกปีนขึ้นกำแพงที่ใกล้ที่สุดแล้วเดินตามสันกำแพงเหมือนอย่างแมว
ตั้งมั่น ตั้งมั่น อย่าคิดว่ากำลังจะตกลงไปข้างล่าง...
ให้คิดว่า ผ่านไปได้ ใช่...ผ่านไปได้
ผมค่อยๆเดินย่างอย่างเชื่องช้าทีละก้าว ขณะที่พวกมันไหลไปตามถนนใหญ่และฟุตบาท
ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว ต้องไปถึงให้ได้...
ผมพูดกับตัวเองเรื่อยๆเช่นนี้จนกระทั่งผ่านพ้นฝูงของพวกมัน ท่ามกลางการรบกวนโสตประสาทของมัน
มีบางตัวในกลุ่มพวกมันยื่นระยางออกมาเพื่อจะกวนสมาธิผม แต่ผมยังคงเดินไปตามทางจนกระทั่งเข้าซอยที่ไม่มีฝูงพวกมัน
ผมจำได้ว่า แค่เดินผ่านต้นไม้ตรงแยกข้างหน้าไปก็ถึงร้านวาไรตี้แล้ว มันก็แปลกดีนะ ระยะทางจากห้องผมถึงร้านวาไรตี้มันก็ไม่ได้ไกลมากแต่ผมเหงื่อท่วมเหมือนเดินทางไกลหลายกิโลเมตร
เสี้ยววินาทีที่ผมเผลอผ่อนคลายความเหนื่อยล้า เสี้ยววินาทีนั้น เศษแขนข้างหนึ่งของมันก็ลอยปลิวมาจากด้านซ้าย ผมม้วนหน้าเฉียงไปทางขวาด้วยสัญชาติญาณเอาชีวิตรอดของสัตว์เลือดอุ่น
ตอนนี้สภาพของผมมอซอยิ่งขึ้นแต่ผมก็ได้มาถึงร้านวาไรตี้ตามที่นัดไว้
ประตูกระจกร้านวาไรตี้ถูกเปิดออกก่อนที่ผมจะผลักและคนที่เปิดประตูร้านก็คือ เธอ
“ลินด์ ผม...มาถึงแล้ว...”
“โซ ! ไปทำอะไรมา ทำไมเนื้อตัวเลอะอย่างนี้เนี่ย”
“เดินไหวไหม ...”
“แค่นี้สบายมากน่า” ผมแกล้งทำเป็นสบายๆไปอย่างนั้นแต่ที่จริงเหนื่อยแทบแย่
เอาล่ะ ในเมื่อมาถึงนี่แล้วแกคงทำตามที่สัญญาไว้นะคุน และผมก็ต้องตกใจกับโต๊ะที่ลินด์พาไปนั่งด้วยเพราะที่โต๊ะเต็มไปด้วยผู้คนคุ้นหน้าคุ้นตา...
“.... ” หนุ่มพูดน้อยคนนี้ที่ยิ้มและผงกศีรษะแทนคำทักทายคือ ยุน... ยุนเป็นเพื่อนสมัยเรียนตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยมปลาย ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันก็ตอนงานเลี้ยงรุ่นเมื่อ2ปีที่แล้ว
“ฮ่าย ~ โซ” เธอคนนี้ชื่อ อเล็กซานดร้า เป็นสาวลูกครึ่งเอเชีย-ฝรั่งเศส เธอเป็นเพื่อนของแฟนเก่าของผม ตอนหลังพอผมเลิกกับแฟนเก่าเธอก็ติดผมแจ อุตส่าห์ย้ายหอหนีแล้วเชียวต้องมาเจอจนได้
“ฮาว ลอง ทู ซี ยู โซว~” หมอนี่จริงๆแล้วก็ไม่ได้รู้จักกันโดยตรงหรอกเพียงแต่เป็นเพื่อนร่วมห้องของแฟนของเพื่อนน้องสาวของอเล็กซานดร้าอีกที ว่าแต่ชื่ออะไรนะ? ช่างเถอะไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก
“ไม่ได้เจอกันนานนะ ” ใบหน้าที่ยิ้มแย้มภายใต้กรอบแว่นตาทิเทเนี่ยมสีเงินนั่นคือใบหน้าของพี่อารอนติวเตอร์ที่ติวให้ผมได้เกือบทุกวิชา ทั้งภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ วิชาที่พี่เขาติวให้ไม่ได้ก็มีแค่พลศึกษาแค่นั้นแหละครับ พี่อารอนเป็นคนสำคัญที่ทำให้ผมเข้ามหาวิทยาลัยได้
แต่ผมขาดการติดต่อกับพวกเขาเพราะเหตุผลไร้สาระอย่างโทรศัพท์หาย
“แล้ว....แล้วทำไมทุกคนมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ” ผมเริ่มงงกับการรวมตัวกันอย่างไม่ได้นัดหมายมาก่อน ความบังเอิญแบบนี้มันผิดปกติมากเกินไป
“นั่นสินะครับ ทำไมกันนะ ” คุนยิ้มแบบมีเลศนัย ไอ้หมอนี่มันวางแผนเรื่องนี้ไว้ มันต้องการอะไรกันแน่?
“คิดมากไปก็เท่านั้นแหละครับ ไหนๆก็อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว เรามาฉลองเนื่องในโอกาสที่หาได้ยากดีกว่าครับ ” เฮอะ...ที่มันพูดก็ใช่อยู่ โอกาสที่ทุกคนจะมารวมตัวกันครบแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
"โซมานั่ง ข้างๆอเล็กก็ได้นะ " เธอเอียงไหล่เชิญชวนผม พลางลูบไล้ที่นั่งข้างๆที่ยังว่างอยู่
"คงไม่ดีมั้ง" เพราะตอนนี้ลินด์มองค้อนผมจนตาจะถลนออกมานอกเบ้าอยู่แล้ว
"เฮ่ๆ งั้นไอขอย้ายไปนั่งข้างยูนะ"
"ฉันไม่ได้พูดกับนาย..."
"....." ยุนตบหัวไหล่ของหนุ่มที่ถูกอเล็กซ์ปฏิเสธอย่างไม่เหลือเยื่อใยเป็นเชิงปลอบใจว่า ไม่เป็นไรนะ
"เห็นหนุ่มๆสาวๆแซวเล่นกันแล้วรู้สึกชื่นใจจริงๆนะเนี่ย" พี่อารอนเปรยขึ้นลอยๆ
"ไม่หรอกครับ พี่อารอนเองก็ยังหนุ่มอยู่เลย "
"ไม่ได้เจอกันนาน รู้จักมารยาทสังคมมากขึ้นนะเรา"
"....." ยุนผงกหน้าแสดงความเห็นด้วยกับคำพูดของพี่อารอน
"ก็นิดหน่อยล่ะครับ "
"ได้ข่าวว่าเฮียจะแต่งงานเหรอครับ" เฮ่ย? คาร์ลมันไปรู้มาจากไหนเนี่ย
"อืม ใช่ ว่าจะเล่าให้โซฟังอยู่พอดีเลย"
"แล้วใครเป็นสาวผู้โชคดีคนนั้นล่ะครับ"
"นาเดีย เพื่อนพี่สาวของเธอนั่นแหละโซ"
"อ่ะ โห พี่สาวที่โหดๆเถื่อนๆหน่อยใช่ไหมครับ"
"นาเดียเปลี่ยนไปเยอะนะ เหมือนกับเธอยังไงล่ะ" ผมเนี่ยเหรอเปลี่ยนไป ไม่ยักรู้แฮะ
"แล้วแต่ก่อน โซ เป็นคนยังไงเหรอคะ?" ลินด์ถามถึงผมเมื่อตอนสมัยเรียนมัธยม
"อะไรก๊าน เป็นแฟนกันเนี่ย เขาไม่เคยเล่าให้ฟังเลยเหรอ? ถึงฉันจะไม่ใช่แฟนของโซอย่างเป็นทางการแต่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนไม่มีทางแพ้ใครแน่..." อเล็กซ์! เธอไปกวนอารมณ์ของลินด์ให้ขุ่นทำไมเล่า!
"เฮ้ พ่อเพลย์บอย สอนไอหน่อย ทำไงให้เนื้อหอม?"
"สนใจเคล็บลับเนื้อหอมของโซ มันป่าวเพ่ จะบอกให้ฟังว่า มันใช้Lacta..." คาร์ลพูดสอดขึ้นมาอย่างจงใจ
"เงียบไปน่า คาร์ล!"
"เนื้อหอมจังเลยนะ โซ..." ตายล่ะหวา มันมาแล้ว ยิ้มปั้นปึ่งของลินด์
"แหะแหะแหะ ....ไม่ใช่แบบนั้นนะ ลินด์"
หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งคุยนั่งเล่นกันในร้านวาไรตี้จนลืมเวลา นั่งคุยกันเรื่องความหลังสมัยเรียนมัธยมบ้างล่ะ วีรกรรมแสบสันในวัยที่ทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดบ้างล่ะ
บางทีก็แอบเอาพฤติกรรมปัจจุบันมาแฉให้เพื่อนเก่าฟัง แฉกันไปแฉกันมาอยู่นั่นแหละ
เอาเข้าจริงแล้วคนที่แทบจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับงานนี้เลยก็คือ คุน บางทีผมอาจจะมองเขาผิดไปก็ได้
คุนอาจจะเป็นคนดีกว่าที่ผมคิด เขาอุตส่าห์เรียกเพื่อนเก่าของผมมาร่วมฉลองในวันแบบนี้ พอผมกำลังจะนึกขอบคุณเขา เขาก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด
"นั่งคุยกันมานาน คงเริ่มหิวกันแล้ว เรามาสั่งอะไรทานกันเถอะครับ ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารหลากหลายอยู่แล้ว สั่งกันได้เลยครับ"
"สเต็กไก่ที่นึงค่ะ"
"ต๊ายตาย กินแบบนั้นไม่กลัวอ้วนเลยเหรอเนี่ย เป็นฉันน่ะไม่ได้หรอก ขอซีซาร์สลัดค่ะ"
"เพราะกินแค่นั้นน่ะสิ ถึงได้กะหร่องอย่างนั้น"
"เธอคิดว่าตัวเองหุ่นดีนักหรือยังไงยะ?"
"@&@%_@" พวกผู้หญิงนี่ขนาดแค่สั่งอาหารไม่วายตีจนได้
"ผมขอ เหมือนเดิม" เหมือนเดิมที่ว่าคือ ข้าวกะเพราะรวมมิตรไม่ใส่พริก ผมก็กินอะไรธรรมดาๆแบบนี้แหละครับ ผมสั่งเมนูนี้จนเด็กเสริฟกับแม่ครัวที่ร้านจำได้เลยล่ะ
"เหมือนกัน" สงสัยยุนคงไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรดี
"เหมือนมัน" คาร์ลพูดพลางชี้หน้าผม อ่าวไอ้นี่หนิ...
"ขอชาอั่ง พร้อมน้ำชาร้อนที่นึงครับ" พี่อารอนกินอะไรดูเป็นผู้ใหญ่ใจเย็นจริงๆแฮะ
"ขอชิฟฟ่อน กับบราวนี่ครับ" ...หมอนี่แทบจะเป็นตัวประหลาดในวงเลยล่ะ " อ่อ เผอิญผมเป็นพวกชอบกินอะไรเรียกน้ำย่อยก่อนน่ะครับ"
ระหว่างรออาหารให้ครบทุกคนแล้วค่อยทานพร้อมกัน ต่างคนต่างก็จับคู่คุยในเรื่องที่สนใจอย่างเป็นกันเองเสมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ความสุขที่มีอยู่ในตอนนี้ทำเอาผมแทบจะลืมเรื่องของมันไปอย่างสิ้นเชิงจนกระทั่ง
"ถ้างั้นผมขอสั่งอาหารหลักแล้วกันนะครับ" เขาพูดแบบนั้นหลังจากจัดการกับเค้กทั้งสองชิ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นผมยังไม่รับรู้ถึงหายนะที่ย่างกรายเข้ามาใกล้ซึ่งผู้ที่นำมาพาหายนั่นมาสู่ผมไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม เขาคนนั้นก็คือ คุน
ผมยังคงคุยเล่นหยอกล้อกับเพื่อนๆจนกระทั่งอาหารหลักของเขาถูกเสริฟเป็นอย่างสุดท้าย
...หลังจากหยุดพูดคุยกับลินด์และหันมาดูอาหารจานหลักที่ว่าของคุน มันทำให้ผมตัวสั่นเทิ้มอย่างที่ไม่อาจควบคุมร่างกายตัวเองได้
มัน...มันมาอยู่ตรงหน้าผม....มันเหมือนมาท้าทายกันอย่างซึ่งหน้า ผมไม่สามารถทำตัวเหมือนมันไม่มีตัวตนอยู่ได้เพราะคุนนั่งอยู่ตรงข้ามกับผม
เขายังคงไม่รู้เรื่องของมัน เขายังคงนั่งกินมันอย่างเงียบๆพลางหัวเราะกับเรื่องราวชวนขำของคาร์ลที่เล่าถึง ความเปิ่นของคนในชมรม แต่หลังจากเรื่องนั้นผมก็ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว
หูของผมมันเริ่มอื้อไปหมด ผมพยายามสอดส่ายมองหาพวกมันที่แอบซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆและผมก็พบว่า มันได้ซุ่มอยู่ตามจุดต่างๆบนโต้ะโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น มันติดหนึบอยู่บนขวด เกาะอยู่ตามเสื้อผ้าของเพื่อนๆ
การที่ได้เห็นพวกมันอย่างชัดเจนมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกเหล็กทรงสี่เหลี่ยมน้ำหนัก1กิโล ทับทีละก้อน ละก้อน จนมิดท่วมหัว
ผมอยากจะนั่งอยู่กับพวกเพื่อนๆต่อ แต่ทว่า...มันที่กำลังอวดร่างของตัวเองอยู่เบื้องหน้า
แต่ละคำที่มันดิ้นพราดอยู่ในจาน แต่ละคำที่มันดิ้นพราดอยู่ในช้อน และแต่ละคำที่มันดิ้นพราดอยู่ในปากของคุน มันทำให้ผมอดทนต่อไปอีกไม่ไหว
"ขอตัวก่อนนะ..."
"อ้าว โซจะไปไหนน่ะ"
"ไปห้องน้ำน่ะ..."
ยังดีที่ห้องน้ำในร้านนี้ไม่มีมัน....ผมนั่งสงบอยู่บนฝาชักโครกสีขาวในห้องสุดท้ายและภาวนาว่าเมื่อผมกลับไปที่โต๊ะภาพของมันจะไม่อยู่ที่เดิม ผมหมกตัวในห้องน้ำนานเกือบยี่สิบนาทีจนแน่ใจว่ามันคงไปแล้ว
เมื่อกลับไปที่โต๊ะ ทุกๆอย่างได้ถูกเด็กเสริฟจัดการไปจนหมดแล้ว จะไม่มีมันปรากฎอยู่บนโต๊พอีก ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ ตอนนี้ก็เหลือแค่กลับไปที่ห้อง
"อะไรกันจะรีบกลับแล้วเหรอ นานๆที่จะได้มาเจอคนคุยสนุกๆแบบนี้" คาร์ลบ่นอุบเพราะอยากอยู่กับกลุ่มเพื่อนเก่าของผมต่อ
"สีหน้าไม่ดีเลย โซ เป็นอะไรรึเปล่า เข้าห้องน้ำไปตั้งนาน"
"ไม่เป็นไร....หรอก" ผมรู้สึกเวียนหัวอย่างบอกไม่ถูก ภาพเพื่อนๆที่อยู่ตรงหน้าเริ่มเลือนลาง เส้นขอบก็ไม่ชัด มีใครปิดไฟในร้านกันน่ะ ถึงได้มืดแบบนี้...
"โซว!"
"โซ!"
มีเพียงเสียงของพวกเขาเท่านั้นที่สามารถส่งผ่านเพื่อให้ผมรับรู้ว่าพวกเขาอยู่ใกล้ๆ แต่เสียงเหล่านั้นก็เริ่มห่างไกลออกไปทุกที ทุกที...
...
ผมอยู่ที่ไหน...กันนะ ทำไมถึงมีกลิ่นหอมอ่อนๆอยู่ล้อมรอบตัวผม
ผมคงจะอยู่ที่ทุ่ง...ทุ่งดอกลิลลี่สีขาว
ใช่แล้ว ท่ามกลางหมู่ดอกลิลลี่มากมาย ผมจะเป็นอิสระ ผมจะรู้สึกปลอดภัย ผมเดินตรงไปเพื่อที่จะได้ยืนอยู่ ณ ใจกลางสวนดอกลิลลี่
เมื่อไปถึงผมกลับเห็นเงาของใครบางคนยืนอยู่อีกฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำสีฟ้าอมเขียว หมอกสีเทาดำบังคนๆนั้นมิดจนผมมองไม่ออกว่าเป็นใคร
“นั่นใครน่ะ!” ผมส่งเสียงทักทาย แต่คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ตอบอะไรกลับมา เขาเพียงแต่เดินเข้ามาหาผม
ทุกย่างก้าวที่เขาเหยียบลงไปกลับบิดเบี้ยว ทุกย่างก้าวที่เขาเหยียบลงไปกลับหมองลง
แม่น้ำที่เขาก้าวข้ามสีของมันกลับเปลี่ยนไปเป็นสีอันน่าสะพรึงกลัว ดอกลิลลี่ที่เขาเดินผ่านไปกลับกลายเป็นกุหลาบกำลังอวดกลีบดอกสีสด
ผมอยากจะหนีไปให้ไกลจากคนปริศนาที่ยังสาวเท้าก้าวเข้ามาโดยไม่ชะลอ แต่ผมก็ไม่ยอมให้ดอกลิลลี่ที่เหลืออยู่ต้องแปรเปลี่ยนเป็นดอกกุหลาบหนามคมอย่างแน่นอน
เขาเป็นใครกัน...ที่ทำให้ทุ่งดอกลิลลี่แปดเปื้อน ใครกัน
“หึ...ใครกันงั้นเหรอ?ไม่น่าถามคำถามแบบนี้เลยนะ นายก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่ว่าฉันน่ะ คือ ....
“ไม่จริง....ไม่จริง...” ไม่ใช่ ไม่ใช่...
“การป้ายความผิดให้คนตายนี่มันไม่น่าดูเลยจริงไหม? ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ...”
ผมแผดร้องสุดเสียงขณะที่ดอกไม้รอบตัวผมกลายเป็นกุหลาบไปจนหมด...
...
“โซ !” เสียงของลินด์ กลิ่นหอมอ่อนๆนั่นเป็นกลิ่นของเธอนี่เอง“เป็นอะไรไปน่ะ...”
“...แค่ฝัน” ความรู้สึกอุ่นบนแก้มทำให้ผมรู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้
“ฝันร้ายเหรอ? ไม่เป็นไรนะ ลินด์อยู่นี่แล้ว” เธอลูบหัวผมเบาๆทำให้ผมรู้แล้วว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนอนหนุนตักเธออยู่ แม้ไม่รู้ว่าผมมาหนุนตักเธอได้อย่างไรแต่ผมก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ด้วยเหตุนี้ล่ะมั้งที่ทำให้ผมขอคบกับเธอเป็นแฟน
“ไม่เป็นไรหรอก มันก็แค่ความฝัน...” ใช่แล้วล่ะ มันก็แค่ฝันร้ายของเมื่อวันวาน
“ลินด์...ร้องเพลงให้โซฟังหน่อย”
“ตอนนี้เลยเหรอ?” เธอเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะตัดสินใจร้องเพลงโปรดของเธออย่างอ่อนโยน ผมนอนหลับตาเคลิ้มไปกับเสียงอันไพเราะของเธอ
สำหรับผมแล้ว ณ สวนสาธารณะแห่งนี้ซึ่งมีเธอคอยปลอบโยน คอยเยียวยาหัวใจที่เคยเป็นแผล เปรียบได้กับนักเดินทางผู้เหนื่อยล้าได้พบเจอกับโอเอซิสท่ามกลางพายุทะเลทราย ...
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ผมไม่อาจล่วงรู้ พวกมันยังคงมีอีกเท่าไหร่ ผมไม่อาจทราบแน่ชัด สิ่งที่รู้ตอนนี้มีเพียงผมได้พบกับความสุขสงบในหัวใจเมื่อได้อยู่ตามลำพังกับเธอ
หลังจากที่เธอเริ่มเหนื่อยกับการร้องเพลงอย่างไม่หยุดพัก เธอโน้มตัวลง ยื่นริมฝีปากสีชมพูมาประทับที่กลางหน้าผากของผมพร้อมทั้งกระซิบอย่างอ่อนโยนว่า
“ถึงเวลากลับแล้วนะ”
“อ่า...อืม” แม้จะเสียดายที่ต้องกลับตอนนี้แต่ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ระหว่างเดินกลับผมถามเธอว่า คนอื่นๆหายไปไหน เธอยิ้มพร้อมกับเอานิ้วชี้แตะปากก่อนที่จะพูดว่า
“ความลับจ้า...อีกเดี๋ยวโซก็รู้เอง” หลังจากนั้นเธอก็กดส่งข้อความไปหาใครสักคนหนึ่งตอนที่มาถึงหน้าหอพัก
เราสองคนขึ้นลิฟท์มาที่ชั้นห้าของหอพัก เดินไปจนเกือบสุด ห้อง 511เป็นห้องที่ผมอยู่ บรรยากาศดูแปลกๆไป อาจเป็นเพราะคนอื่นๆในชั้นห้าไปฉลองข้างนอกกันหมด
ขณะผมกำลังจะใช้กุญแจไขสายยูที่คล้องไว้และประตูที่ถูกปิดล็อค เธอกลับบอกว่าอย่าพึ่ง
“มีอะไรเหรอลินด์”
“เดี๋ยวเราไขประตูให้เอง แต่ตอนนี้ต้อง...” เธอหยิบผ้าปิดตาสีดำทีมีรูปตาเบิกกว้างอยู่ที่ตำแหน่งตา“ปิดตาก่อน”
ผมยอมทำตามที่เธอบอกอย่างว่าง่ายเพราะยังไงผมก็มาถึงห้องของตัวเองแล้ว พวกมันไม่มีวันตามมาถึงที่นี่ได้
พอมองอะไรไม่เห็นผมก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ผมก้าวเดินทีละก้าวโดยให้ลินด์กอดแขนขวาของผมไว้ เธอปิดประตูหน้าห้องอย่างแผ่วเบาแล้ววางสายยูไว้บนที่วางใส่รองเท้า
แต่ดูเหมือนจะมีใครบางคนเปิดประตูออกจากห้องไป คนที่พึ่งออกจากห้องไปนั่นมันใครกัน?
เธอประคองผมไปยังเก้าอี้ที่อยู่กลางห้องทำให้ผมสงสัยว่า กลางห้องของผมมีเก้าอี้และโต๊ะตั้งแต่เมื่อไหร่
เสียงล็อคของสายยูดังขึ้นจากทางหน้าประตู แต่ไม่ทันที่ผมจะถาม ลินด์ก็ถอดผ้าปิดตาออก
ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าคือ เงาลางๆที่กำลังหัวเราะคิกคักกัน ดูจากรูปร่างของเงาแล้ว จากทางซ้ายก็มีพี่อารอน ยุน อเล็กซ์ คนที่เกาะแกะอเล็กซ์ คาร์ลและลินด์ที่กำลังเดินไปที่สวิตซ์ไฟเพื่อเตรียมตัวจะกดเปิดไฟ
“เอานะ....หนึ่ง สอง สาม!”
ก่อนที่ตาผมจะปรับให้มองเห็นสิ่งต่างๆได้ชัด หูผมก็ได้ยินเสียงที่พวกเขาพูดกันอย่างพร้อมเพรียงว่า
“Merry-Christmas!!!”
ห้องของผมถูกจัดแต่งใหม่โดยฝีมือพวกเขา พวกเขาไม่รู้เลยว่าผม...เกลียดมัน!!!
อ๊ากกกกกกกกก!!!
ผมอาละวาดอย่างบ้าคลั่งทันทีที่เห็นมันอยู่เต็มห้อง ทั้งที่ผนัง บนโต๊ะ โคมไฟ ผมปัดเค้กบนโต๊ะไปถูกพรมสีแดงบนพื้น
ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมอยากจะออกไปจากห้องนี้เพราะมันเต็มไปด้วยสีแดงเพลิง มันกำลังแผดเผาห้องทั้งห้อง แต่ประตูกลับถูกคล้องไว้ด้วยสายยู
เสียงไฟที่กำลังแผดเผาข้าวของต่างๆดังในหัวผมจนกลบเสียงกรีดร้องของอเล็กซ์และลินด์
ปล่อยผมออกไป ปล่อยผมออกไป! ผมทุบประตูอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับสัมผัสได้ถึงไอร้อนในห้อง ภาพเหตุการณ์ในครั้งอดีตมันย้อนกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้มันเกิดขึ้นในห้องของผมเอง
ผมทิ้งตัวลงกองหน้าประตูพร้อมกับสำนึกเสียใจกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น
“วันนั้นผม...ผมเป็นคนทำเองครับ”
......
พาดหัวข่าววันที่ 27 ธันวาคม ไฟไหม้ในหอพักแห่งหนึ่งย่านมหาวิทยาลัยชื่อดัง
เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในคืนวันที่25ธันวาคมซึ่งเป็นคืนวันคริสต์มาส มีผู้ตาย5คน บาดเจ็บสาหัสอีก2คน
ตำรวจยังคงสงสัยในแง่อุบัติเหตุที่เกิดจากการจุดพลุไฟและในแง่จงใจก่อเหตุ มีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นการวางแผนฆาตกรรมเพราะสายยูหน้าห้อง511ถูกคล้อง แสดงว่าคนก่อเหตุวางเพลิงอาจมีผู้สมรู้ร่วมคิด
แต่ทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดาตราบเท่าที่ยังไม่สามารถสอบพยานได้ เรื่องราวที่เกิดก็ยังคงเป็นปริศนา
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น